ในบทที่ 8 ซึ่งเป็นบทสุดท้ายนั้น มีประเด็นสำคัญที่จะทบทวนและสรุปดังนี้
Shopping (สำนวนที่เกี่ยวกับ shopping)
ก็เช่นเคยครับกับสำนวนที่ต้องทำความเข้าใจทั้งสำนวนที่เป็นประโยคคำถามและคำตอบ สำนวนที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ใหนังสือเรียนมีดังนี้
1. สำนวนที่ถามว่า ขอดูสิ่งของที่มีอยู่ในร้าน
A: Could I have a look at that watch, please? (ฉันขอดูนาฬิกาเรือนนั้นหน่อยได้ไหมครับ)
B: Certainly. Here you are. (ได้ครับ/ค่ะ นี่ครับ/ค่ะคุณ )
ส่วนที่เหลือ
วันอาทิตย์, เมษายน 27, 2551
UNIT 8 SHOPPING
UNIT 7 MY LAST WEEKEND
ในบทที่ 7 นั้น มีหลายประเด็นที่ต้องทบทวนและทำความเข้าใจ ประกอบด้วย
1. Expressions of past experience
ในการถาม-ตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้กระทำแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็นปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อวาน ถือว่าเป็นอดีตทั้งสิ้น
หลักภาษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ กริยาช่องที่ 2 (past verb form) คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอดีต (adverbs of time)
อีกเรื่องหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ โครงสร้าง (structures) ของประโยคบอกเล่า ปฏิเสธและคำถาม
ดูตัวอย่างประกอบนะครับ
A: How was your weekend/holiday?
B: It was great.
A: Did you do anything on Saturday?
B: Yes, I saw a movie with my sister. /Not really, I just stayed home and watched TV.
A: What did you do on the weekend?
B: We drove to Pattaya and spent a whole day there.
ตัวอย่างเพิ่มเติม (ยังจำได้นะครับว่า ในทั้ง 20 ข้อข้างล่างนี้ รูปกริยาถูกหรือผิดกี่ข้อ)
At that time Timmy (1) was a five year old boy that his Mom (2) loves very much. When he (3) started Kindergarten, his Mom (4) not wanted to walk to school by himself. So she (5) walks him to school for a couple of days but when he (6) coming home one day, he (7) told his mother that he (8) not preferred her walking him to school everyday because he (9) be not a little boy anymore. His Mom (10) does not know what to do.
Mrs. Goodnest, a neighbour, (11) volunteered to follow her son to school, at a distance behind him so that Timmy (12) not notice her. The next school day, Mrs. Goodnest and her little girl, Marcy, (13) set out behind Timmy as he (14) walked to school with another neighbour boy. She (15) does this for the whole week.
It (16) did not be Timmy but his friend who (17) noticed that there (18) be the same lady following them as she (19) seems to do every day all week. Finally, he (20) said to Timmy,
Have you noticed that lady following us all week? Do you know her?"
รูปกริยาอดีตที่ถูกต้องคือข้อ 1, 3, 7, 11, 13, 14, 17, 20
นอกนั้นรูปกริยาอดีตผิด และสามารถแก้ไขได้ดังนี้
2. loves แก้เป็น loved
4. not wanted แก้เป็น did not want (ตามโครงสร้างของประโยคปฏิเสธ want กริยาแท้ต้องเป็นรูปเดิม ส่วนกริยาที่แสดง tense คือ did ซึ่งเป็นกริยาตัวแรกของประโยค)
5. coming แก้เป็น came
6. walks แก้เป็น walked
8. not preferred แก้เป็น did not prefer (เหมือนข้อ4)
16. did not be แก้เป็น was not (กริยา verb to be เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ ไม่ต้องนำ did มาช่วย เติมรูปกริยาและตามด้วย not ได้เลย)
กริยารูปอดีตนั้นมี 2 ชนิดคือ1. Regular verbs คือ กริยาที่เมื่อเป็นช่องที่ 2 และ 3 เติม -ed
2. Irregular verbs คือกริยาที่เมื่อเป็นช่องที่ 2 และ 3 เปลี่ยนรูปเอง (มีอยู่ในหนังสือหน้าท้ายๆ)
ส่วนที่เหลือ
วันเสาร์, เมษายน 26, 2551
UNIT 6 HOW TO GET THERE
ในบทที่ 6 ก็ขอสรุปประเด็นสำคัญเลยนะครับ
Asking for and giving directions
ในการถามและบอกทางนั้น เราจะดูและเน้นสำนวนที่ถามทางและการบอกทาง ซึ่งก็สามารถสรุปได้ดังนี้
ในการถาม-บอกทางนั้น
1. ถามทาง สำนวนที่ใช้ในการถามทางนั้น มีหลากหลาย
2. บอกทาง โดยหลักคือ 1. บอกว่าอยู่ที่ถนนเส้นใด 2. บอกทิศทาง 3. บอกตำแหน่งที่ตั้ง และ 4. อยู่ใกล้ที่สำคัญคืออะไร
ดูตัวอย่างกันเลยนะครับ
A: Excuse me, could you tell me where Bangkok Co-operative is, please?
B: It’s about one block on this road, on your left.
A: One block, on the left.
B: Yes, it’s next to Tang Hau Seng, opposite Banglumpoo Dental Clinic.
A: Thanks.
ที่เป็นตัวสีแดง หมายถึงสำนวนที่กล่าวข้างต้น ก็ขอให้ดูแผนที่ให้ละเอียดก่อนๆแล้วพิจารณาดูว่า ประโยคที่กล่าวถูกต้องหรือไม่
สำนวนการถามทางเพิ่มเติม
- Do you know where Chandrakasem Rajabhat University is?
- Can you tell me where the Major Cineplex Theatre is, please?
- I’m looking for men’s clothing section?
- Where is the Computer Centre, please?
(ตัวเอียง หมายถึง สามารถเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง)
ที่อยากฝากเช่นเคยคือ ศึกษาสำนวนทั้งการถามและการบอกทางให้แม่นนะครับ
Imperatives in instruction
คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยา กล่าวคือใช้ในกรณีที่ต้องบอกให้ผู้ฟัง (you) ทำตาม หรือห้ามไม่ให้ทำ เช่น การบอกทิศทาง (direction) ก็เป็นหนึ่งในประโยคเช่นนั้น
คำกริยาหลักๆ ที่มักจะใช้ในการบอกทาง ประกอบด้วย
a) Go straight down Sathorn Road as far as the crossroad. (ไป)
b) Walk along this street until you come to the junction. (เดิน)
c) Drive along Samsen Road for two blocks. (ขับรถ)
d) Turn left into Narathiwat Road and turn next right. (เลี้ยว)
e) Keep straight on past the intersection. (เดิน...ไปเรื่อยๆ)
f) Don’t turn left at the intersection. (อย่าเลี้ยว)
อย่าลืมดูตัวอย่างและรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสืออีกครั้งนะครับ เดี๋ยวกลับมาพบกันใหม่
ส่วนที่เหลือ
UNIT 5 MY UNIVERSITY
เงียบไปนานเลย อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มานะครับ
เอ้า ! มาเริ่มกันเลยนะครับ สำหรับบที่ 5 ชื่อบทคือ MY UNIVERSITY เป็นบทที่พูดถึงมหาวิทยาลัย
การใช้ภาษาที่พูดถึงในบทนี้ก็มีรูปแบบเหมือนกับบทที่ผ่านมา ต่างแต่สถานการณ์และเนื้อหาเท่านั้น ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. Useful expressions of likes and dislikes (สำนวนการถามตอบเกี่ยวกับความชอบและไม่ชอบ)
2. Vocabulary : things in the classroom and descriptive adjectives (คำศัพท์เกี่ยวกับห้องเรียนและคำคุณศัพท์ขยายสิ่งต่างๆ)
3. Pronunciation: 'V' and 'W' sounds (การออกเสียง v และ เสียง w)
4. Grammar: There is / there are + singular / plural (ความสอดคล้องระหว่าง there is / there are กับ คำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์)
5. Reading : My University
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาทำความเข้าใจในแต่ละหัวข้อกันเลยครับ
Likes and dislikes
เมื่อพูดถึงสำนวน นั่นหมายถึงการถาม-ตอบนั่นเอง ในที่นี้ เป็นการถาม-ตอบเรื่องชอบและไม่ชอบ
สำนวนที่นิยมใช้ในการถาม-ตอบความชอบและไม่ชอบ มีดังนี้
A: Do you like studying at Chandrakasem Rajabhat University?
B: Yes, I do. I love the green environment there very much.
A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right.
A: How do you like it here?
B: I really enjoy it very much.
หมายเหตุ ตัวเอียง หมายถึง สามารถเปลี่ยนได้
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นเองนะครับ ยังมีมากกว่านี้
อย่าลืมนะครับ ในการทำความเข้าใจบทสนทนา ต้องสังเกตดูว่า ถ้าคำตอบเป็นอย่างนี้ คำถามจะถามอย่างไร จึงจะมีเนื้อหาสอดคล้องกัน หรือ ถ้าคำถามเป็นแบบนี้ คำตอบจะตอบว่าอย่างไร จึงจะมีเนื้อหาสอดคล้องกันกับคำถาม ไม่ว่าบทสนทนานั้นจะสั้นหรือยาวก็ให้ยึดวิธีการนี้นะครับ
ลองทำความเข้าใจบทสนทนานี้ดูนะครับ
A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: What don’t you like then?
สมมติว่า จะทดสอบความเข้าใจจากบทสนทนานี้ ทำได้ดังนี้
A: _________________________________
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: What don’t you like then?
Or
A: What do you think of your university?
B: ____________________________
A: What don’t you like then?
Or
A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: _______________________
ก็ลองไปดูและทำความเข้าใจจากบทสนทนาที่เหลือในหนังสือเรียนนะครับ
2. Things and descriptive adjectives
คำคุณศัพท์นั้นมีมากมายเหลือเกิน บางคำสามารถขยายคำนามได้มากมาย เช่น nice
อาจจะขยายคนก็ได้เช่น nice girl
หรือขยายสถานที่ก็ได้เช่น nice room nice university อย่างนี้เป็นต้น
ตัวอย่างคำคุณศัพท์อื่นๆที่ขยายคำนามแล้วมีความหมายเหมาะสม เช่น
beautiful place
clean room
comfortable equipment
delicious food
dirty floor
lovely children etc.
เมื่อพูดถึง Adjectives ก็อยากจะเพิ่มเติมต่อไปเลยนะครับว่า นอกจากการเลือกคำ adjective ขยายคำนามมีใจความเหมาะสมแล้ว
อีกความสำคัญหนึ่งของ adjective ที่อยากพูดถึงนั่นคือ
Positions of adjectives
การวางตำแหน่ง adjective นั้น หลักๆ มี 2 คือ
1. วางไว้หลัง verb to be (is, am, are)
2. วางไว้หน้าคำนาม
เพื่อความชัดเจนดูตัวอย่างนะครับ
- It is a great place to study. (หน้าคำนาม)
- It is one of several famous universities in Thailand. (หน้าคำนาม)
- Our university is very large with an area of 1050 rai. (หลัง verb to be 'is')
(ดูตัวอย่างเพิ่มเติมในหนังสือนะครับ)
3. There is / There are + singular noun/ plural noun
เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ก็ทบทวนให้อีกครั้งนะครับ
There is ตามด้วย singular noun (นามนับไม่ได้/ นามนับได้ที่มีเพียงหนึ่งเท่านั้น )
ตัวอย่างเช่น
1. There is a man standing near my car.
2. There are only ten students in my class.
3. There is sugar in my coffee.
ทำความเข้าใจเพิ่มเติม โดยดูตัวอย่างจากหนังสือหรือ ถามผู้รู้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพบกันใหม่นะครับ
ส่วนที่เหลือ
วันศุกร์, เมษายน 18, 2551
UNIT 4 MY FAMILY
ในบทนี้เนื้อหาหลักๆ ก็จะเป็นสำนวนที่เกี่ยวกับการถาม-ตอบที่เกี่ยวกับครอบครัว รวมไปถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ส่วนการใช้ภาษา หรือไวยากรณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นเรื่อง การพูดประโยคเปรียบเทียบ เรามาทำความเข้าใจเป็นหัวข้อตามลำดับกันเลยนะครับ
Talking about the family
1. สำนวนที่เกี่ยวกับการบรรยายถึงครอบครัว เช่น
ถาม- A: Do you come from a large family?
ตอบ- B: Yes, I do.
------------------------------------------
ถาม- A: How many brothers/sisters do you have?
ตอบ- B: I’ve got one brother and two sisters.
ตัวอย่างอื่นๆ ก็ดูได้จากหนังสือนะครับ
คราวนี้ก็ลองอ่านบทสนทนาและลองเติมคำลงในช่องว่างดูนะครับ
Conversation 1
A: Do you come from (1)___________________?
B: Yes, my family’s quite large.
A: How many (2) __________________________________do you have?
B: (3)___________________two brothers and three sisters.
Conversation 2
A: Do you have any brothers and sisters?
B: I’ve (4)__________________________.
A: (5)____________________ is she?
B: She’s (6)_________________three years older than me.
Conversation 3
A: Tell me about (7)_____________________ , Pam.
B: Well, I come from a large family.
A: (8)_________________people are there in your family?
B: There’re (9)_________________altogether, mygrandmother, father, mother, two sisters, one brother and me.
ในบทสนทนานี้หากเราจะเติมเอง เราก็จะพิจารณาดูจากเนื้อหาแล้วเติมคำลงไปได้อย่างถูกต้อง เช่น
- ช่องว่างที่ 1 เติม a large family เพราะ1. เราดูจากประโยคคำตอบที่มีความหมายว่า ใช่ ครอบครัวฉันค่อนข้างใหญ่ เพราะฉะนั้น 2. ประโยคคำถามก็น่าจะถามว่า คุณมาจากครอบครัวใหญ่ใช่ไหม
- ช่องว่างที่ 2 เราเติม brothers and sisters เพราะ1. เข้ากับการใช้ how many ว่าจะต้องตามด้วยคำนามนับได้พหูพจน์เสมอ และ 2. ในประโยคคำตอบนั้น ตอบว่า มีพี่/น้องชาย 2 คน และพี่/น้องสาว 3 คน
นี่เป็นแค่แนวทางนะครับ ส่วนตัวอย่างที่เหลือก็ลองทำดูนะครับ
ส่วนที่เหลือ
วันเสาร์, เมษายน 05, 2551
Unit 3 Everyday Life
พบกันอีกครั้งครับกับ GEEN1001 (English for Communication) ซึ่งในวันนี้เราก็พบกันในบทที่ 3 ชื่อบทคือ Everyday Life คือชีวิตประจำวัน เช่นเคยครับ ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของเนื้อหา เราก็มาดู Scope ของบทนี้นะครับว่า เรียนเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ที่จะเรียนมีดังนี้
1. Talking about routine activities (สำนวนเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน)
2. Frequency and time expressions (คำหรือสำนวนที่บอกความถี่และเวลา)
3. Days, numbers and time (การใช้ภาษา: การอ่านวัน ตัวเลขและการบอกเวลา)
4. The /s/, /z/, /iz/ sounds (คำกริยาช่องที่1 เมื่อเติม -s หรือ -es แล้วออกเสียงต่างกัน)
5. Reading and Writing (เทคนิคการอ่านและการเขียน)
เป็นอย่างไรครับ ดูหัวข้อแล้ว คิดว่าคงไม่ยากนะครับ งั้นเรามาดูรายละเอียดกันเลย
Talking about routine activities
เกี่ยวกับบทสนทนานั้นเราจะเน้นที่สำนวนประโยคถาม-ตอบที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันเช่น
ถาม A: How do you spend your day?
ตอบ B: I get up very early and exercise for an hour.
-----------------------------------------------------
ถาม A: What time do you get up?
ตอบ B: I get up around 6.
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง สำนวนเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันยังมีอีกมากมาย หรือจะดูเพิ่มเติมในหนังสือก็ได้นะครับ
นักศึกษาลองอ่านบทสนทนาและเติมคำในช่องนี้เหล่าดูนะครับ
A: Rita, what time do you _(1)____________?
B: Well, I usually get up around _(2)___________.
A: Oh, that’s too _(3)__________ for me.
A: Do you have breakfast _(4)_____________?
B: Yes. I have _(5)___________, just coffee and toast.
A: Really. I often skip breakfast because I _(6)____________ late.
A: Kate, you look really slim and fit. Do you _(7)__________ much?
B: Yes, I _(8)___________ in the park with my sister every evening.
A: How long do you go jogging?
B: About 45 minutes.
ดูจากประโยคคำตอบในข้อ 2. แล้วน่าจะถามว่า ริตา คุณตื่นนอนกี่โมง เพราะในคำตอบว่า ปกติฉันตื่นนอนราวๆ ... พิจารณาดูแล้วคำที่หายไปน่าจะเป็น get up ที่แปลว่าตื่น และข้อ 2. และ3 ก็ต้องสัมพันธ์กันนะครับ เพราะถ้าข้อ2 ตอบว่า 6 O'clock ข้อ 3 ก็ต้องเป็น early ที่แปลว่า เช้าตรู่ แต่ถ้าข้อ 2 ตอบว่า 10 o'clock ข้อ 3 ก็อาจจะตอบว่า late ที่แปลว่า สายก็ได้.....อย่างนี้เป็นต้น
ข้อควรจำ การพูดถึงกิจวัตรประจำวันนั้น เราใช้ Present simple tense เสมอ หากยังไม่เข้าใจก็ลองกลับไปอ่านทบทวนอีกครั้งในบทที่ 2 นะครับ
การบอกเวลา (Telling time)
การบอกเวลานั้นมี 2 แบบคือ
1. แบบอังกฤษ (British English) ซึ่งการบอกลักษณะนี้จะนับจากหลังไปหน้า (ดูตามตัวเลข) เช่น
2.30 อ่านว่า thirty past two or half past two
2.31 อ่านว่า twenty-nine to three
2. แบบอเริกัน (American English) เป็นการบอกเวลาตามเลขที่เห็น คืออ่านจากหน้าไปหลัง อ่านธรรมดา เช่น
2.30 อ่านว่า two thirty
2.31 อ่านว่า two thirty-one
ข้อควรจำ 1. เลขหน้า คือ ชั่วโมง ส่วนเลขหลังนั้นคือ นาที 2. แบบอังกฤษนั้นมี 2 คำที่ต้องทำความเข้าใจคือ past และ to : past ใช้กับ นาทีที่ 1 - นาทีที่ 30 ส่วน to นั้นใช้กับนาทีที่ 31-59 3. นอกจากนี้ก็ยังมีชื่อเรียกแทนนาทีที 15 และ30 : quarter = 15 นาที และ half = 30 นาที
การใช้ at, on, in กับเวลา
ในการพูดถึงกิจวัตรประวันนั้นมักจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาและความถี่(Time and frequency expressions)มาเกี่ยวข้องเสมอ ให้เข้าใจอย่างนี้นะครับว่า
- Time expressions นั้นใช้ตอบคำถาม When หรือ What time (เมื่อไร หรือเวลาเท่าไร)
- Frequency expressions นั้นใช้ตอบคำถาม How often(บ่อยแค่ไหน)
กลับไปทบทวนในหนังสือนะครับ
ที่ต้องทำความเข้าใจอีกก็คือ การใช้ prepositions: at, on, in กับเวลานั่นเอง สรุปได้ดังนี้ครับ
- at ใช้กับช่วงเวลาสั้นๆ เช่น at 3 o'clock, at noon, at midnight, at lunchtime
- on ใช้กับวันและวันที่ เช่น on Christmas Day, on my birthday, on Monday, on 13 April 2008
- in ใช้กับเดือน ปี ศตวรรษ ช่วงระยะเวลายาวๆ เช่น in May, in 2008, in the morning, in the summer, in the future, in the next century
ดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้ สังเกตและทบทวนความเข้าใจอีกครั้งนะครับ
I have a meeting at 9 am.
The shop closes at midnight.
Jane went home at lunchtime.
In England, it often snows in December.
Do you think we will go to Jupiter in the future?
There should be a lot of progress in the next century.
Do you work on Mondays?
Her birthday is on 20 November.
Where will you be on New Year's Day?
อย่างไรก็อย่าลืมอ่านหนังสือหรือดูตัวอย่างอื่นๆในหนังสือเพิ่มเติมนะครับ แล้วพบกันในบทที่ 4 นะครับ