Bathroom Furniture

วันอาทิตย์, เมษายน 27, 2551

UNIT 8 SHOPPING

ในบทที่ 8 ซึ่งเป็นบทสุดท้ายนั้น มีประเด็นสำคัญที่จะทบทวนและสรุปดังนี้

Shopping (สำนวนที่เกี่ยวกับ shopping)
ก็เช่นเคยครับกับสำนวนที่ต้องทำความเข้าใจทั้งสำนวนที่เป็นประโยคคำถามและคำตอบ สำนวนที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ใหนังสือเรียนมีดังนี้
1. สำนวนที่ถามว่า ขอดูสิ่งของที่มีอยู่ในร้าน
A: Could I have a look at that watch, please? (ฉันขอดูนาฬิกาเรือนนั้นหน่อยได้ไหมครับ)
B: Certainly. Here you are. (ได้ครับ/ค่ะ นี่ครับ/ค่ะคุณ )

ส่วนที่เหลือ

Read More

UNIT 7 MY LAST WEEKEND

ในบทที่ 7 นั้น มีหลายประเด็นที่ต้องทบทวนและทำความเข้าใจ ประกอบด้วย

1. Expressions of past experience

ในการถาม-ตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้กระทำแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็นปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้ว หรือเมื่อวาน ถือว่าเป็นอดีตทั้งสิ้น
หลักภาษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ กริยาช่องที่ 2 (past verb form) คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอดีต (adverbs of time)
อีกเรื่องหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ โครงสร้าง (structures) ของประโยคบอกเล่า ปฏิเสธและคำถาม
ดูตัวอย่างประกอบนะครับ
A: How was your weekend/holiday?
B: It was great.

A: Did you do anything on Saturday?

B: Yes, I saw a movie with my sister. /Not really, I just stayed home and watched TV.

A: What did you do on the weekend?

B: We drove to Pattaya and spent a whole day there.

ตัวอย่างเพิ่มเติม (ยังจำได้นะครับว่า ในทั้ง 20 ข้อข้างล่างนี้ รูปกริยาถูกหรือผิดกี่ข้อ)

At that time Timmy (1) was a five year old boy that his Mom (2) loves very much. When he (3) started Kindergarten, his Mom (4) not wanted to walk to school by himself. So she (5) walks him to school for a couple of days but when he (6) coming home one day, he (7) told his mother that he (8) not preferred her walking him to school everyday because he (9) be not a little boy anymore. His Mom (10) does not know what to do.
Mrs. Goodnest, a neighbour, (11) volunteered to follow her son to school, at a distance behind him so that Timmy (12) not notice her. The next school day, Mrs. Goodnest and her little girl, Marcy, (13) set out behind Timmy as he (14) walked to school with another neighbour boy. She (15) does this for the whole week.

It (16) did not be Timmy but his friend who (17) noticed that there (18) be the same lady following them as she (19) seems to do every day all week. Finally, he (20) said to Timmy,

Have you noticed that lady following us all week? Do you know her?"

รูปกริยาอดีตที่ถูกต้องคือข้อ 1, 3, 7, 11, 13, 14, 17, 20

นอกนั้นรูปกริยาอดีตผิด และสามารถแก้ไขได้ดังนี้

2. loves แก้เป็น loved

4. not wanted แก้เป็น did not want (ตามโครงสร้างของประโยคปฏิเสธ want กริยาแท้ต้องเป็นรูปเดิม ส่วนกริยาที่แสดง tense คือ did ซึ่งเป็นกริยาตัวแรกของประโยค)

5. coming แก้เป็น came

6. walks แก้เป็น walked

8. not preferred แก้เป็น did not prefer (เหมือนข้อ4)

16. did not be แก้เป็น was not (กริยา verb to be เมื่อเป็นประโยคปฏิเสธ ไม่ต้องนำ did มาช่วย เติมรูปกริยาและตามด้วย not ได้เลย)

กริยารูปอดีตนั้นมี 2 ชนิดคือ
1. Regular verbs คือ กริยาที่เมื่อเป็นช่องที่ 2 และ 3 เติม -ed
2. Irregular verbs คือกริยาที่เมื่อเป็นช่องที่ 2 และ 3 เปลี่ยนรูปเอง (มีอยู่ในหนังสือหน้าท้ายๆ)

ส่วนที่เหลือ

Read More

วันเสาร์, เมษายน 26, 2551

UNIT 6 HOW TO GET THERE

ในบทที่ 6 ก็ขอสรุปประเด็นสำคัญเลยนะครับ
Asking for and giving directions
ในการถามและบอกทางนั้น เราจะดูและเน้นสำนวนที่ถามทางและการบอกทาง ซึ่งก็สามารถสรุปได้ดังนี้
ในการถาม-บอกทางนั้น
1. ถามทาง สำนวนที่ใช้ในการถามทางนั้น มีหลากหลาย
2. บอกทาง โดยหลักคือ 1. บอกว่าอยู่ที่ถนนเส้นใด 2. บอกทิศทาง 3. บอกตำแหน่งที่ตั้ง และ 4. อยู่ใกล้ที่สำคัญคืออะไร

ดูตัวอย่างกันเลยนะครับ
A: Excuse me, could you tell me where Bangkok Co-operative is, please?
B: It’s about one block on this road, on your left.
A: One block, on the left.
B: Yes, it’s next to Tang Hau Seng, opposite Banglumpoo Dental Clinic.
A: Thanks.
ที่เป็นตัวสีแดง หมายถึงสำนวนที่กล่าวข้างต้น ก็ขอให้ดูแผนที่ให้ละเอียดก่อนๆแล้วพิจารณาดูว่า ประโยคที่กล่าวถูกต้องหรือไม่
สำนวนการถามทางเพิ่มเติม
- Do you know where Chandrakasem Rajabhat University is?
- Can you tell me where the Major Cineplex Theatre is, please?
- I’m looking for men’s clothing section?
- Where is the Computer Centre, please?
(ตัวเอียง หมายถึง สามารถเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง)
ที่อยากฝากเช่นเคยคือ ศึกษาสำนวนทั้งการถามและการบอกทางให้แม่นนะครับ

Imperatives in instruction

คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยา กล่าวคือใช้ในกรณีที่ต้องบอกให้ผู้ฟัง (you) ทำตาม หรือห้ามไม่ให้ทำ เช่น การบอกทิศทาง (direction) ก็เป็นหนึ่งในประโยคเช่นนั้น
คำกริยาหลักๆ ที่มักจะใช้ในการบอกทาง ประกอบด้วย
a) Go straight down Sathorn Road as far as the crossroad. (ไป)
b) Walk along this street until you come to the junction. (เดิน)
c) Drive along Samsen Road for two blocks. (ขับรถ)
d) Turn left into Narathiwat Road and turn next right. (เลี้ยว)
e) Keep straight on past the intersection. (เดิน...ไปเรื่อยๆ)
f) Don’t turn left at the intersection. (อย่าเลี้ยว)


อย่าลืมดูตัวอย่างและรายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสืออีกครั้งนะครับ เดี๋ยวกลับมาพบกันใหม่


ส่วนที่เหลือ



Read More

UNIT 5 MY UNIVERSITY

เงียบไปนานเลย อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มานะครับ
เอ้า ! มาเริ่มกันเลยนะครับ สำหรับบที่ 5 ชื่อบทคือ MY UNIVERSITY เป็นบทที่พูดถึงมหาวิทยาลัย
การใช้ภาษาที่พูดถึงในบทนี้ก็มีรูปแบบเหมือนกับบทที่ผ่านมา ต่างแต่สถานการณ์และเนื้อหาเท่านั้น ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. Useful expressions of likes and dislikes (สำนวนการถามตอบเกี่ยวกับความชอบและไม่ชอบ)
2. Vocabulary : things in the classroom and descriptive adjectives (คำศัพท์เกี่ยวกับห้องเรียนและคำคุณศัพท์ขยายสิ่งต่างๆ)
3. Pronunciation: 'V' and 'W' sounds (การออกเสียง v และ เสียง w)
4. Grammar: There is / there are + singular / plural (ความสอดคล้องระหว่าง there is / there are กับ คำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์)
5. Reading : My University
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาทำความเข้าใจในแต่ละหัวข้อกันเลยครับ

Likes and dislikes
เมื่อพูดถึงสำนวน นั่นหมายถึงการถาม-ตอบนั่นเอง ในที่นี้ เป็นการถาม-ตอบเรื่องชอบและไม่ชอบ
สำนวนที่นิยมใช้ในการถาม-ตอบความชอบและไม่ชอบ มีดังนี้

A: Do you like studying at Chandrakasem Rajabhat University?
B: Yes, I do. I love the green environment there very much.

A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right.

A: How do you like it here?
B: I really enjoy it very much.
หมายเหตุ ตัวเอียง หมายถึง สามารถเปลี่ยนได้
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นเองนะครับ ยังมีมากกว่านี้
อย่าลืมนะครับ ในการทำความเข้าใจบทสนทนา ต้องสังเกตดูว่า ถ้าคำตอบเป็นอย่างนี้ คำถามจะถามอย่างไร จึงจะมีเนื้อหาสอดคล้องกัน หรือ ถ้าคำถามเป็นแบบนี้ คำตอบจะตอบว่าอย่างไร จึงจะมีเนื้อหาสอดคล้องกันกับคำถาม ไม่ว่าบทสนทนานั้นจะสั้นหรือยาวก็ให้ยึดวิธีการนี้นะครับ
ลองทำความเข้าใจบทสนทนานี้ดูนะครับ

A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: What don’t you like then?

สมมติว่า จะทดสอบความเข้าใจจากบทสนทนานี้ ทำได้ดังนี้
A: _________________________________
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: What don’t you like then?

Or
A: What do you think of your university?
B: ____________________________
A: What don’t you like then?

Or
A: What do you think of your university?
B: Well, it’s all right. I like most things but there are a few things I don’t like.
A: _______________________

ก็ลองไปดูและทำความเข้าใจจากบทสนทนาที่เหลือในหนังสือเรียนนะครับ

2. Things and descriptive adjectives

คำคุณศัพท์นั้นมีมากมายเหลือเกิน บางคำสามารถขยายคำนามได้มากมาย เช่น nice
อาจจะขยายคนก็ได้เช่น nice girl
หรือขยายสถานที่ก็ได้เช่น nice room nice university อย่างนี้เป็นต้น
ตัวอย่างคำคุณศัพท์อื่นๆที่ขยายคำนามแล้วมีความหมายเหมาะสม เช่น
beautiful place
clean room
comfortable equipment
delicious food
dirty floor
lovely children etc.

เมื่อพูดถึง Adjectives ก็อยากจะเพิ่มเติมต่อไปเลยนะครับว่า นอกจากการเลือกคำ adjective ขยายคำนามมีใจความเหมาะสมแล้ว
อีกความสำคัญหนึ่งของ adjective ที่อยากพูดถึงนั่นคือ

Positions of adjectives

การวางตำแหน่ง adjective นั้น หลักๆ มี 2 คือ
1. วางไว้หลัง verb to be (is, am, are)
2. วางไว้หน้าคำนาม
เพื่อความชัดเจนดูตัวอย่างนะครับ
- It is a great place to study. (หน้าคำนาม)
- It is one of several famous universities in Thailand. (หน้าคำนาม)
- Our university is very large with an area of 1050 rai. (หลัง verb to be 'is')
(ดูตัวอย่างเพิ่มเติมในหนังสือนะครับ)

3. There is / There are + singular noun/ plural noun

เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ก็ทบทวนให้อีกครั้งนะครับ
There is ตามด้วย singular noun (นามนับไม่ได้/ นามนับได้ที่มีเพียงหนึ่งเท่านั้น )
ตัวอย่างเช่น
1. There is a man standing near my car.
2. There are only ten students in my class.
3. There is sugar in my coffee.

ทำความเข้าใจเพิ่มเติม โดยดูตัวอย่างจากหนังสือหรือ ถามผู้รู้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพบกันใหม่นะครับ

ส่วนที่เหลือ

Read More

วันศุกร์, เมษายน 18, 2551

UNIT 4 MY FAMILY

ในบทนี้เนื้อหาหลักๆ ก็จะเป็นสำนวนที่เกี่ยวกับการถาม-ตอบที่เกี่ยวกับครอบครัว รวมไปถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ส่วนการใช้ภาษา หรือไวยากรณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นเรื่อง การพูดประโยคเปรียบเทียบ เรามาทำความเข้าใจเป็นหัวข้อตามลำดับกันเลยนะครับ
Talking about the family

1. สำนวนที่เกี่ยวกับการบรรยายถึงครอบครัว เช่น
ถาม- A: Do you come from a large family?
ตอบ- B: Yes, I do.
------------------------------------------
ถาม- A: How many brothers/sisters do you have?
ตอบ- B: I’ve got one brother and two sisters.
ตัวอย่างอื่นๆ ก็ดูได้จากหนังสือนะครับ
คราวนี้ก็ลองอ่านบทสนทนาและลองเติมคำลงในช่องว่างดูนะครับ
Conversation 1

A: Do you come from (1)___________________?

B: Yes, my family’s quite large.

A: How many (2) __________________________________do you have?

B: (3)___________________two brothers and three sisters.

Conversation 2

A: Do you have any brothers and sisters?

B: I’ve (4)__________________________.

A: (5)____________________ is she?

B: She’s (6)_________________three years older than me.

Conversation 3

A: Tell me about (7)_____________________ , Pam.

B: Well, I come from a large family.

A: (8)_________________people are there in your family?

B: There’re (9)_________________altogether, mygrandmother, father, mother, two sisters, one brother and me.

ในบทสนทนานี้หากเราจะเติมเอง เราก็จะพิจารณาดูจากเนื้อหาแล้วเติมคำลงไปได้อย่างถูกต้อง เช่น
- ช่องว่างที่ 1 เติม a large family เพราะ1. เราดูจากประโยคคำตอบที่มีความหมายว่า ใช่ ครอบครัวฉันค่อนข้างใหญ่ เพราะฉะนั้น 2. ประโยคคำถามก็น่าจะถามว่า คุณมาจากครอบครัวใหญ่ใช่ไหม
- ช่องว่างที่ 2 เราเติม brothers and sisters เพราะ1. เข้ากับการใช้ how many ว่าจะต้องตามด้วยคำนามนับได้พหูพจน์เสมอ และ 2. ในประโยคคำตอบนั้น ตอบว่า มีพี่/น้องชาย 2 คน และพี่/น้องสาว 3 คน
นี่เป็นแค่แนวทางนะครับ ส่วนตัวอย่างที่เหลือก็ลองทำดูนะครับ


ส่วนที่เหลือ

Read More

วันเสาร์, เมษายน 05, 2551

Unit 3 Everyday Life

พบกันอีกครั้งครับกับ GEEN1001 (English for Communication) ซึ่งในวันนี้เราก็พบกันในบทที่ 3 ชื่อบทคือ Everyday Life คือชีวิตประจำวัน เช่นเคยครับ ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของเนื้อหา เราก็มาดู Scope ของบทนี้นะครับว่า เรียนเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ที่จะเรียนมีดังนี้
1. Talking about routine activities (สำนวนเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน)
2. Frequency and time expressions (คำหรือสำนวนที่บอกความถี่และเวลา)
3. Days, numbers and time (การใช้ภาษา: การอ่านวัน ตัวเลขและการบอกเวลา)
4. The /s/, /z/, /iz/ sounds (คำกริยาช่องที่1 เมื่อเติม -s หรือ -es แล้วออกเสียงต่างกัน)
5. Reading and Writing (เทคนิคการอ่านและการเขียน)
เป็นอย่างไรครับ ดูหัวข้อแล้ว คิดว่าคงไม่ยากนะครับ งั้นเรามาดูรายละเอียดกันเลย
Talking about routine activities
เกี่ยวกับบทสนทนานั้นเราจะเน้นที่สำนวนประโยคถาม-ตอบที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันเช่น
ถาม A: How do you spend your day?
ตอบ B: I get up very early and exercise for an hour.
-----------------------------------------------------
ถาม A: What time do you get up?
ตอบ B: I get up around 6.
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง สำนวนเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันยังมีอีกมากมาย หรือจะดูเพิ่มเติมในหนังสือก็ได้นะครับ
นักศึกษาลองอ่านบทสนทนาและเติมคำในช่องนี้เหล่าดูนะครับ
A: Rita, what time do you _(1)____________?
B: Well, I usually get up around _(2)___________.
A: Oh, that’s too _(3)__________ for me.
A: Do you have breakfast _(4)_____________?
B: Yes. I have _(5)___________, just coffee and toast.
A: Really. I often skip breakfast because I _(6)____________ late.

A: Kate, you look really slim and fit. Do you _(7)__________ much?
B: Yes, I _(8)___________ in the park with my sister every evening.
A: How long do you go jogging?
B: About 45 minutes.

ดูจากประโยคคำตอบในข้อ 2. แล้วน่าจะถามว่า ริตา คุณตื่นนอนกี่โมง เพราะในคำตอบว่า ปกติฉันตื่นนอนราวๆ ... พิจารณาดูแล้วคำที่หายไปน่าจะเป็น get up ที่แปลว่าตื่น และข้อ 2. และ3 ก็ต้องสัมพันธ์กันนะครับ เพราะถ้าข้อ2 ตอบว่า 6 O'clock ข้อ 3 ก็ต้องเป็น early ที่แปลว่า เช้าตรู่ แต่ถ้าข้อ 2 ตอบว่า 10 o'clock ข้อ 3 ก็อาจจะตอบว่า late ที่แปลว่า สายก็ได้.....อย่างนี้เป็นต้น
ข้อควรจำ การพูดถึงกิจวัตรประจำวันนั้น เราใช้ Present simple tense เสมอ หากยังไม่เข้าใจก็ลองกลับไปอ่านทบทวนอีกครั้งในบทที่ 2 นะครับ
การบอกเวลา (Telling time)
การบอกเวลานั้นมี 2 แบบคือ
1. แบบอังกฤษ (British English) ซึ่งการบอกลักษณะนี้จะนับจากหลังไปหน้า (ดูตามตัวเลข) เช่น
2.30 อ่านว่า thirty past two or half past two
2.31 อ่านว่า twenty-nine to three
2. แบบอเริกัน (American English) เป็นการบอกเวลาตามเลขที่เห็น คืออ่านจากหน้าไปหลัง อ่านธรรมดา เช่น
2.30 อ่านว่า two thirty
2.31 อ่านว่า two thirty-one
ข้อควรจำ 1. เลขหน้า คือ ชั่วโมง ส่วนเลขหลังนั้นคือ นาที 2. แบบอังกฤษนั้นมี 2 คำที่ต้องทำความเข้าใจคือ past และ to : past ใช้กับ นาทีที่ 1 - นาทีที่ 30 ส่วน to นั้นใช้กับนาทีที่ 31-59 3. นอกจากนี้ก็ยังมีชื่อเรียกแทนนาทีที 15 และ30 : quarter = 15 นาที และ half = 30 นาที

การใช้ at, on, in กับเวลา
ในการพูดถึงกิจวัตรประวันนั้นมักจะมีคำกริยาวิเศษณ์บอกเวลาและความถี่(Time and frequency expressions)มาเกี่ยวข้องเสมอ ให้เข้าใจอย่างนี้นะครับว่า
- Time expressions นั้นใช้ตอบคำถาม When หรือ What time (เมื่อไร หรือเวลาเท่าไร)
- Frequency expressions นั้นใช้ตอบคำถาม How often(บ่อยแค่ไหน)
กลับไปทบทวนในหนังสือนะครับ
ที่ต้องทำความเข้าใจอีกก็คือ การใช้ prepositions: at, on, in กับเวลานั่นเอง สรุปได้ดังนี้ครับ
- at ใช้กับช่วงเวลาสั้นๆ เช่น at 3 o'clock, at noon, at midnight, at lunchtime
- on ใช้กับวันและวันที่ เช่น on Christmas Day, on my birthday, on Monday, on 13 April 2008
- in ใช้กับเดือน ปี ศตวรรษ ช่วงระยะเวลายาวๆ เช่น in May, in 2008, in the morning, in the summer, in the future, in the next century
ดูตัวอย่างประโยคต่อไปนี้ สังเกตและทบทวนความเข้าใจอีกครั้งนะครับ
I have a meeting at 9 am.
The shop closes at midnight.
Jane went home at lunchtime.
In England, it often snows in December.
Do you think we will go to Jupiter in the future?
There should be a lot of progress in the next century.
Do you work on Mondays?
Her birthday is on 20 November.
Where will you be on New Year's Day?
อย่างไรก็อย่าลืมอ่านหนังสือหรือดูตัวอย่างอื่นๆในหนังสือเพิ่มเติมนะครับ แล้วพบกันในบทที่ 4 นะครับ





Read More

วันพุธ, มีนาคม 26, 2551

Assignments for ss. Group 201

Direction: Students do as follows:
1. Work in pairs.
2. Make the conversation about greeting in formal and informal situations
- Introducing yourself
- Greeting ; formal and informal
3. Due Date: Within Friday, March 28, 2008
4. Copying from other students will not be accepted or will be deleted.
More details, ask me by writing comments.

คำสั่ง ให้ทำตามดังนี้
1. จับคู่กับเพื่อน
2. สร้างบทสนทนาเกี่ยวกับการทักทายกันโดยทำดังนี้วันที่ 1 แนะนำตัวเองกับเพื่อนวันที่ 2 ทักทายกัน ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
3. กำหนดส่ง ภายในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551
4. หากซ้ำกับคู่อื่น จะไม่ยอมรับ หรือถูกลบทิ้ง
สงสัยหรือ รายละเอียดเพิ่มเติม คอมเมนท์ มาถามผู้สอนนะครับ
Thank you

A. Frank

Read More

Unit 2 Introductions


พบกันอีกแล้วนะครับกับ GEEN1001 (English for Communication) ซึ่งในวันนี้เราก็กลับมาพบกันอีกในบทที่ 2 ชื่อบทคือ Introductions คือการแนะนำเพื่อนสองคนให้รู้จักกัน เช่นเคยครับ ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของเนื้อหา เราก็มาดู Scope ของบทนี้นะครับว่า เรียนเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ที่จะเรียนมีดังนี้
1. Introductions (สำนวนเกี่ยวกับการแนะนำคน 2 คน ให้รูจักกัน)
2. Talking about occupation (สำนวนที่เกี่ยวกับการถาม - ตอบเรื่องอาชีพ)
3. Indefinite article 'a, an' (การใช้ภาษา: คำนำหน้านามที่ทั่วไปไม่เจาะจง)
4. Simple present tense (การใช้ : ปัจจุบันกาลธรรมดา)
5.Occupations (คำศัพท์ที่เกี่ยวกับอาชีพ)
6. Word Stress (การลงเสียงหนักเบาที่คำที่มีมากกว่าสองพยางค์)
7. Reading and Writing (เทคนิคการอ่านและการเขียน)
เป็นอย่างไรครับ ดูหัวข้อแล้ว ไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวก็ต้องไหวนะครับ งั้นเรามาดูรายละเอียดกันเลย

Introductions of Other people (การแนะนำคน 2 คน ให้รูจักกัน)
มองจากสถานการณ์นี้ จะมีบุคคลในบทสนทนาถึง 3 คนด้วยกัน ประกอบด้วย
1. สมมติชื่อว่า A เป็นคนที่รู้จักทั้ง 2 คน
2. สมมติชื่อว่า B เป็นคนที่รู้จักกับ A แต่ยังไม่รู้จัก C
3. สมมติชื่อว่า C เป็นคนที่รู้จักกับ A แต่ไม่รู้จัก B
คราวนี้เราก็มาดูสำนวนตัวอย่างนะครับ ทั้งที่เป็นทางการ (formal) และไม่เป็นทางการ (informal)
Formal introduction of other people
Teacher: Why are you standing here, Pam?
Pam: I am waiting for my father.
Teacher: What does your father do?
Pam: He is a judge. There comes my father.
Father, may I introduce Ms Nantinee, my teacher.
Father: How do you do?
Teacher: Pleased to meet you.
Informal introduction of other people
Dao: Hello, Tawee. How’re you?
Tawee: Good, thanks. And you?
Dao: Fine, thanks.
Tawee, this is my friend, Pat.
Pat, this is Tawee.
Tawee: Nice to meet you.
Pat: Nice to meet you, too.

หมายเหตุ: คำหรือสำนวนที่เป็นสีแดง หมายความว่าสามารถใช้สำนวนอื่นซึ่งมีความหมายเดียวกันได้ เช่น

May I introduce ..... เราสามารถใช้สำนวนต่อไปนี้แทนได้ ได้แก่
Let me introduce ....
I would like to introduce ....

Talking about occupation
สำหรับสำนวนที่เกี่ยวกับอาชีพนั้น ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย หากเราสร้างประโยคคำถามพื้นฐานได้
ในที่นี้เราใช้ verb 'do' กับการถามอาชีพ ตามโครงสร้างประโยคและความสอดคล้องระหว่างประธานและกริยา (Subject- verb agreement) ดูตัวอย่างนะครับ
(Wh-word + helping V.(do/does) + Subject + main V. (base form))
Tawee: What do you do, Pat?
Pat: I am a secretary.
หรือ
Teacher: What does your father do?
Pam: He is a judge.

สังเกตดูตัวสีแดงนะครับ ก็เหมือนที่กล่าวมาแล้วนะครับว่า สามารถเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ว่า ถามใคร
เวลาตอบก็เหมือนกับการใช้ personal pronouns นั่นเองคือ
ถามด้วยประธาน You ตอบด้วย I หรือ
ถามด้วยประธาน He ตอบด้วย He
นอกจากนี้ เมื่อเป็นประโยคแล้ว ยังต้องดูเรื่อง ความสอดคล้องของประธานและกริยา(Subject-verb agreement) จากตัวอย่าง
do สอดคล้องกับ you
does สอดคล้องกับ your father
เราจะดูเฉพาะกริยาตัวแรกกับประธานเท่านั้น

Indefinite articles 'a' and 'an'
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทุกคนเรียนมาแล้ว แต่เวลาถามไม่เห็นจะตอบได้ถูกต้องแม่แต้คนเดียว ไม่น่าเชื่อนะครับ
ขอย้ำนะครับว่า การเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานนั้น ไม่ใช่เรียนใหม่ เพียงแต่เป็นการทบทวนภาษาอังกฤษของท่านแค่นั้นเองว่า ในการเรียนภาษาที่ผ่านมา ท่านเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง
Indefinite articles คือ คำนำหน้านามที่ไม่เฉพาะเจาะจงมี 2 ตัวคือ a และ an 2 ตัวนี้ใช้อย่างไร
a + noun with consonant sound (a วางไว้หน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ)
an + noun with vowel sound (an วางไว้หน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ)
ดูตัวอย่างนะครับ
a university (อะ ยูนิเวอสิทิ)
an hour ( แอน อาวเออะ)
และเรานิยมใช้ 2 คำนี้ในการพูดถึงอาชีพต่างๆ อย่าลืมนะครับ เวลาใครถามเกี่ยวกับอาชีพ คำตอบต้องมี a หรือ an วางไว้หน้าเสมอนะครับ

Present Simple Tense
เมื่อพูดถึง English for Communication แล้ว Present simple tense นิยมใช้มากที่สุดในการสนทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการณ์พูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ในบทนี้ก็ได้พูดถึงการใช้ tense นี้ ในการสนทนา แน่นอนครับ การสนทนาคือการถาม-ตอบกันนั่นเอง จะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าเราสร้างคำถามและคำตอบได้ งั้นเรามาทบทวนการสร้างคำถามและคำตอบกันอีกนะครับ
Affirmative sentences (ประโยคบอกเล่า) S + V1...
a) I work at Personnel Division.
b) You always get up late.
c) She cleans the house and does the washing.
d) He likes the food at this restaurant.
e) We go to work by bus.
f) They drive to work everyday.
g) His daily work (it) starts at 11 a.m.

นั่นคือโครงสร้างและตัวอย่างประโยคบอกเล่า ซึ่งเราจะใช้เป็นคำตอบ โดยวางประธานไว้หน้ากริยาดังตัวอย่าง จุดที่อยากจะให้สังเกตก็คือ สีน้ำเงินและสีแดง
เมื่อเป็นประโยคเราก็จะดูที่ความสอดคล้องระหว่างประธานและกริยา
ข้อควรสังเกต กริยาใน Present นั้น ทั้งหมดยกเว้น verb 'be' มี 2 รูป คือ รูปที่เติม -s และรูปที่ไม่เติม -s ตามประธานนั่นเอง กล่าวคือ
- กริยาที่ไม่เติม-s ใช้กับประธาน I, You, We, They และ plural nouns (คำนามพหูพจน์)
- กริยาที่เติม -s ใช้กับประธาน He, She, It และ singular nouns (คำนามเอกพจน์) สังเกตดูตัวอย่างอีกครั้งนะครับ

Negative sentences (ประโยคปฏิเสธ) S + don't/ doesn't + main V. (base form)...
a) I don't work at Personnel Division.
b) You don't always get up late.

c) She doesn't clean the house and doesn't do the washing.
d) He doesn't like the food at this restaurant.
e) We don't go to work by bus.
f) They don't drive to work everyday.
g) His daily work (it) doesn't start at 11 a.m.

ข้อควรจำเกี่ยวกับประโยคปฏิเสธ ผู้เขียนก็ได้ทำเป็นสีแดงต่างๆ ไว้เพื่อง่ายแก่การเข้าใจดังนี้
1. คำหรือวลีสีแดงซึ่งเป็นประธาน จะสอดคล้องกับวลีที่เป็นสีแดงซึ่งเป็นกริยาช่วยคือ don't หรือ doesn't
2. คำกริยาที่เป็นสีเขียวนั้นคือกริยาแท้ เป็น base form คือ รูปกริยาที่ยังไม่ผันรูป แล้วbase form มันอยู่ตรงไหน อยู่ตรงนี้ครับ
ในกริยา 3 ช่อง base form หรือ infinitive อยู่ข้างหน้ากริยาช่องที่ 1 ตามตารางข้างล่างนี้ครับ
base form------Present(กริยาช่องที่ 1)---Past(กริยาช่องที่ 2)---Past Participle (กริยาช่องที่ 3)
eat-------------eat, eats------------ate---------------eaten
go--------------go, goes------------went--------------gone etc.
ซึ่งกริยารูป base form นี้จะใช้ทั้งในประโยคปฏิเสธและคำถามของ Simple tense ทั้ง Present และ Past เลยนะครับ
Questions (ประโยคคำถาม) (wh-word) + do/ does+ S+ main V. (base form)...
a) Do you work at Personnel Division?
b) Does she clean the house and do the washing?
คำอธิบายของการสร้างประโยคคำถามนั้นคล้ายกับประโยคปฏิเสธ ต่างแต่ตำแหน่งการวางของประธานและกริยาเท่านั้นเอง ได้แก่
1. กริยาช่วย(สีแดง) อยู่หน้าประธาน(สีฟ้า) และต้องสอดคล้องกันนะครับ
2. กริยาแท้(สีเขียว)เป็นรูป base form
3. หากเป็นประโยคคำถามแบบ wh-question ก็จะมีคำ wh-word อยู่ข้างหน้ากริยาช่วย
ในบทที่ 2 นี้ เรื่องที่สำคัญก็มีเท่านี้นะครับ หรือหากใครสงสัยเรื่องใดอยากถามก็ comment มาถามก็แล้วกัน แล้วพบกันในบทที่ 3 ครับ... Bye!

Read More

วันจันทร์, มีนาคม 24, 2551

Assignment 1 for Students Group 701(Chainat)

Direction: Students do as follows:
1. Work in pairs.
2. Make the conversation about greeting in formal and informal situations
- Introducing yourself
- Greeting ; formal and informal
3. Due Date: Within Friday, March 28, 2008
4. Copying from other students will not be accepted or will be deleted.
More details, ask me by writing comments.
Thank you.
A. Frank


คำสั่ง ให้ทำตามดังนี้
1. จับคู่กับเพื่อน
2. สร้างบทสนทนาเกี่ยวกับการทักทายกันโดยทำดังนี้
วันที่ 1 แนะนำตัวเองกับเพื่อน
วันที่ 2 ทักทายกัน ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
3. กำหนดส่ง ภายในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551
4. หากซ้ำกับคู่อื่น จะไม่ยอมรับ หรือถูกลบทิ้ง
สงสัยหรือ รายละเอียดเพิ่มเติม คอมเมนท์ มาถามผู้สอนนะครับ


Read More

วันพุธ, มีนาคม 19, 2551

Unit 1 Meeting and Greeting

สวัสดีนักศึกษาที่เรียน GEEN1001ทุกคน
ก็หวังว่าขณะนี้ทุกคนคงจะมีหนังสือกันทุกคนแล้วนะครับ ก่อนจะเรียนบทที่ 1 เรามาดูก่อนนะครับว่า ในบทนี้มีอะไรบ้าง หลักๆที่เราจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ มีหัวข้อสำคัญที่ควรทำความเข้าใจดังนี้
Functions/ Expressions
1. Greeting friends and others
2. Introducing yourself

Grammar
3. Verb 'be'
4. Pronouns

Vocabulary
5. Countries and nationalities
Pronunciation
6. English alphabets
Writing
7. Writing about yourself
เมื่อได้ outline แล้ว คราวนี้เราก็มาทำความเข้าใจ โดยผู้สอนจะอธิบายเป็นลำดับดังนี้
ภาษาพูดมี 2 แบบคือ
1.1.1 formal (เป็นทางการ)คือใช้กับสถานการณ์ที่เป็นทางการ และใช้พูดกับคนที่ไม่สนิทคุ้นเคยหรือเป็นเพื่อนกัน
1.1.2 informal (ไม่เป็นทางการ)คือใช้กับสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ และใช้พูดกับคนที่สนิทคุ้นเคยหรือเป็นเพื่อนกัน
ดูตัวอย่างนะครับ
Formal Greeting
A: Good morning, Mr. B.
B: Good morning, Mr. A.
A: How are you this morning?
B: I'm fine, thank you. And you?
A: I'm fine, thank you....
Informal Greeting
A: Hi, B.
B: Hello, A.
A: How's everything?
B: I'm fine, thanks. And you?
A: I'm fine, thanks....
จะเห็นว่า ทั้ง 2 แบบนั้นต่างกันนิดเดียวคือ สำนวนนั่นเอง และที่สำคัญกว่านั้นคือ บางสำนวนนั้นมีสำนวนที่ใช้แทนได้มากมายและหลากหลาย แต่ก็ยังคงความหมายเดิม เช่น
How are you this morning?หรือ How are you this afternoon? หรือ How are you this evening?และหรือ How are you today? เห็นไหมครับเราสามารถเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลาได้
ขอยกตัวอย่างอีกสำนวนนะครับ
I'm fine. หรือ I'm very well. หรือ Fine. และหรือ Very well.
ส่วนที่เหลือที่สามารถใช้ได้หลายสำนวน(ตัวเอียง)คือ
Good morning/ afternoon / evening
How's everything?
I'm fine.
And you?
(หากยังสงสัยก็ Comment มาบอกนะครับ)
2. Introducing yourself
การแนะนำตัวเองนั้น ก็มี 2 แบบเช่นกันดังนี้
1.2.1 Formal Introducing yourself
1.2.2 Informal Introducing yourself

ดูตัวอย่างนะครับ
Formal Introducing yourself
A: Excuse me, may I introduce myself? My name is A.
B: I'm B. Pleased to meet you.
A: Pleased to meet you, too...
Informal Introducing yourself
A: My name is A. What's your name?
B: My name is B. Nice to meet you.
A: Nice to meet you, too...
ข้อควรจำ
มีบางสำนวนที่สามารถใช้ได้หลายสำนวน ก็ดูคำที่ขีดเส้นใต้นะครับ
ถัดมาเป็นส่วนของ Grammar หรือ Language Usage ซึ่งในบทที่ 1 นี้ มี 2 หัวข้อที่ต้องมาททวนกันคือ

Verb 'be'
Verb 'be'
นั้นถือว่าเป็นกริยาพิศดารที่สุดในบรรดากริยาทั้งหมด
Verb 'be' นั้นปกติแล้วมีถึง 8 รูปด้วยกันตาม tenses ต่างๆ นะครับ อันได้แก่ is, am, are (present), was, were (past), been (perfect and passive), be (future หรือ หลังกริยาช่วย), being (continuous passive)
ในทที่1 นี้ เราพูดถึงเฉพาะรูปของ Present เท่านั้นนะครับคือรูป is, am , are เพราะมันจะได้สัมพันธ์กับ Pronouns ที่จะกล่าวจากนี้ไป

Personal Pronouns
คือบุรุษสรรพนาม ได้แก่คำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ซึ่งกล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อไม่ให้ซ้ำซากฟังไม่เพราะหู
บุรุษสรรพนาม แบ่งออกเป็น 3 บุรุษดังนี้
บุรุษที่ 1 คือผู้พูด (speaker) ได้แก่ I (แทนผู้พูดคนเดียว) และ We (แทนผู้พูดหลายคน)
บุรุษที่ 2 คือผู้ฟัง (Listener) ได้แก่ you (แทนผู้ฟังคนเดียวหรือหลายคน) เป็นทั้ง singular และ plural
บุรุษที่ 3 คือผู้อื่นที่พูดถึง (Others) ได้แก่ they (แทนคน สัตว์ สิ่งของที่กล่างถึงหลายคน) He (แทนผู้ชายที่กล่าวถึงคนเดียว) She (แทนผู้หญิงที่กล่าวถึงคนเดียว)และ It (แทนสัตว์ สิ่งของ ที่กล่าวถึงหนึ่งเดียว)

Agreement of Personal Pronouns and Verb 'be'
(ความสอดคล้องระหว่างบุรุษสรรพนามกับ verb to be)
เมื่อเป็นประโยคนั่นหมายถึงต้องมีประธานและกริยา ในที่นี้จะพูดถึงประโยคพื้นฐานทั้ง 3 คือ บอกเล่า(Affirmative), ปฏิเสธ(Negative) and คำถาม(Questions) ว่าบุรุษสรรพนามและ verb to be สัมพันธ์กันอย่างไร และเมื่อเป็นประโยคแล้วการเรียงจะมีความแตกต่างกันอย่างไร

ประโยคบอกเล่า (Affirmative sentences): Subject + is/ am/ are...
I’m Sally.
You’re a teacher.
Sue’s from Melbourne.
He’s Tony.
My name’s Kim.
They’re Sue and Lilian.
สรุปว่า บุรุษสรรพนามและ verb to be สัมพันธ์กันดังนี้
I am...
You are...
We are...
They are...
He is...
She is...
It is...
[plural noun] are... และ
[singular noun] is...
ประโยคปฏิเสธ (Negative sentences): Subject + is/ am/ are + not...
I’m not Sally.
You’re not a teacher.
Sue’s not from Melbourne.
He’s not Tony.
My name’s not Kim.
They’re not Sue and Lilian.
ประโยคคำถาม (Questions): (Wh- word) + is/ am/ are + Subject+ ...?
Yes/No questions
Am I Sally?
Are you a teacher?
Is Sue from Melbourne?
Is he Tony?
Is your name Kim?
Are they Sue and Lilian?
Wh-questions
What’s your name? ---- My name is Sally.
Where are you from? ---- I am from Thailand.
What’s his name? ---- His name is Tony.
Where is he from? ---- He is from France.
What’s her name? ---- Her name is Sue.
Where is she from? ---- She is from Taipei.
อย่าลืมนะครับว่า เมื่อมีการถาม-ตอบ บุรุษสรรพนามจะมีข้อยุ่งยากเพียงสองตัวเท่านั้นคือ
ถาม I ตอบ You
ถาม You ตอบ I
ถาม We ตอบ You
ถาม You ตอบ We
นอกนั้น ถามด้วยตัวใด ก็ให้ตอบด้วยตัวนั้น ได้แก่
ถาม they they
ถาม he ตอบ he
ถาม she ตอบ she
ถาม it ตอบ it

Positions of Personal Pronouns

รูป Subject เป็นประธาน วางไว้หน้ากริยา
รูป Object เป็นกรรม วางไว้หลังกริยา หรือ บุพบท (prepositions)
รูป Possessive adjective แสดงความเป็นเจ้าของจะต้องมีนามตามหลังเสมอ
Subject--------- Object ---------- Possessive adjective
I--------------- me------------my
you ------------ you -----------your
he ------------- him ----------- his
she ------------ her ----------- her
it -------------- it ------------- its
we ------------- us ------------ our
they ----------- them---------- their

Countries and Nationalities (and Languages)
(ชื่อประเทศและสัญชาติ (และภาษา))
ชื่อประเทศเป็นคำนาม (noun) ส่วนสัญชาติและภาษานั้นใช้รูปคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
Australia --------- Astralian
Britain ----------- British
Canada ---------- Canadian
China ------------ Chinese
France ----------- French
Japan ------------ Japanese
Korea ------------ Korean
Singapore -------- Singaporean
U.S.A.------------ American
New Zealand ----- New Zealander
Switzerland ------- Swiss
Italy -------------- Italian
ยังมีอีกเป็นร้อยประเทศ นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นเอง ศึกษาเพิ่มเติมนะครับ
แบบฝึกหัดท้ายบท
1. Complete the conversation. Then compare with your partner.

Yoko: Rich, who are the two women over there?
Rich: Oh, (1)____________ names are Lisa and Kate.
Rich: Hi, Kate. This (2)____________Yoko. (3) __________ from Japan
Yoko: Hello. Nice to meet you.
Kate: Glad to meet you, Yoko.
Lisa: And (4)__________ name (5)____________ Lisa.
Yoko: Hi, Lisa.
Rich: Lisa and Kate (6)___________ from Canada.
Yoko: Oh? Where (7) ____________ you from in Canada?
Kate: (8) _________ from Toronto.

2. Complete these questions. Then practise with a partner.

a) A: Who is that?
B: That’s Rich.
b) A: _________________ he from?
B: He’s from Los Angeles.
c) A: ________________ his last name?
B: It’s Brown.
d) A: _________________ the two students over there?
B: Their names are Nadia and Linda.
e) A: ______________they from?
B: They’re from Canada.
3. Put the words in the correct order to form affirmative, negative or questions.

Example: this/ an English class/ is /? = Is this an English class?
a) your friend/ from / where / is /? =
b) Lisa / is / her name / not / =
c) from/ Phuket/ are / my friends/ =
d) their names/ are/ what/? =
e) are/ from/ not/ we/ Bangkok/ =
f) your/ when/ class/ is/? =
g) south/ from/ not/ they/ are/ the/ =
h) friends/ are/ they/ your/? =

(Source: GEEN1001 English for Communication by Associate Professor Chanida Muangkaew)
ลองตอบดูนะครับ ถ้ามีคนตอบถึงจะเฉลยพร้อมคำอธิบาย
หากมีข้อสงสัยไม่เข้าใจยังไงก็ แสดงความคิดเห็นมาได้นะครับ เดี๋ยวจะอธิบายเพิ่มเติมให้ หรือหากมีข้อผิดพลาดก็ติชมมาได้นะครับ
See you next unit.


Read More